เมืองแห่งสายรุ้ง
ผู้เข้าชมรวม
251
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เมืองแห่งสายรุ้ง
มิลล์ แตง พลอย ไทย และนนท์ ทั้งห้าคนได้เตรียมตัวที่จะไปเที่ยวทางภาคอีสานในช่วงปิดเทอมนี้ ซึ่งเป็นฤดูหนาว ทุกคนต่างก็เตรียมสัมภาระสิ่งของจำเป็นต่างๆ ที่ตนเองต้องใช้ ทั้งห้าคนเป็นเพื่อนซี้กันมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ ของแต่ละคนจึงอนุญาตให้ไปด้วยกันได้
ทุกคนอยู่ที่รถตู้สีเขียว ขับรถผ่านมาหลายจังหวัด ในช่วงวันหยุดผู้คนต่างก็ออกมาเที่ยวรับกับฤดูหนาว อันยาวนาน ผละจากความรำคาญวุ่นวายต่างๆมาสู่ความเป็นอิสระเหมือนกับนกที่หลุดออกจากกรง อยากที่จะบินไปอย่างอิสระเสรีเมื่อมันยังมีโอกาส
“เฮ้ย ไอ้นนท์เองครับรถช้าๆหน่อยสิเว้ย ทางมันชันยังกะเหว”
“เออได้ ข้าว่าข้าขับพอดีแล้วนะโว้ย เองก็ทำเป็นปอดแหกไปได้”
“เอาอย่าเถียงกันนี้กินอะไรหน่อยสิ”
พลอยเป็นคนนิสัยชอบเอาใจใส่คนอื่นอยู่เสมอ เป็นคนที่คอยสมานเพื่อนเมื่อเกิดความขัดแย้ง
“ขอบคุณครับ”
ทั้งสองพูดพร้อมกัน
“แล้วอีกนานหรือเปล่ากว่าจะถึงที่ๆเราจะไปเที่ยวนะ”
มิลล์พูดอย่างเซ็งๆเมื่อขี่รถมาได้ครึ่งวันแล้วแต่ก็ยังไม่ได้เที่ยวสักที
“ก็อีกไม่ไกลหรอกนะ แค่อีก 55.92 ไมล์ ก็ถึงแล้ว”
ไทยพูดพร้อมกับเคี้ยวขนม พลางอ่านหนังสือฟุตบอลอย่างไม่สนใจใคร ไทยมักทำตัวให้เพื่อนๆได้หัวเราะกันอยู่เสมอในความเป๋อๆของตนเอง แต่ถึงยังไงเขาก็ยังมีความฉลาดแอบแฝงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“หวังว่าคงสวยงามเหมือนที่พูดนะไอ้ป่าที่พวกเราจะไปเที่ยวนะ”
แตงพูดแล้วชำเลืองมองนนท์อย่างมีความหวัง หวังว่ามันจะคุ้มค่ากับการเดินทางไกลของเธอ
“ฉันว่ามันน่าจะสวยนะเพราะตอนนี้มีดอกไม้ที่ออกดอกในฤดูหนาวมากมาย แถมที่นี่ยังมีดอกไม้สวยงาม ไม่ที่ไหนอีกแล้ว มันเป็นดอกไม้มีสีสันตามฤดูกาลมีเจ็ดสี ชาวบ้านจึงเรียกว่า ดอกสายรุ้งนะ”
ไทยเปลี่ยนนนท์ขับรถ ส่วนสามสาวก็หลับสนิทด้วยความเพลียจากการนั่งรถมานาน
“เอ้า ถึงแล้วทุกคนตื่น สบายกันจังนะ”
ไทยตะโกนปลุกเพื่อนที่กำลังนอนอยู่
พวกเขามาถึงก็ใกล้จะค่ำแล้ว นนท์ได้โทรมาบอกให้ไก่เพื่อนที่มหาลัยด้วยกันเตรียมที่พักเรียบร้อยแล้ว
บ้านของไก่อยู่ที่นี้เขาจึงมารออยู่ก่อนแล้วและอยากให้เพื่อนๆมาเที่ยวชมที่นี่บ้าง
หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างจากถนนใหญ่ 2ไมล์ แต่ก็มีป่าใหญ่หนาทึบอยู่ล้อมรอบเพราะยังอยู่ไกลจากเมืองมาก
ตอนกลางคืน เงียบสงัด สายหมอก ขาวเต็มป่า มีเสียงร้องของสัตว์ป่าที่หากินตอนกลางคืน ร้องอย่างน่าสยองขวัญ ผสมกับความเงียบสงบของป่าเขา และความหนาวของสายลมในยามค่ำคืน
ในเวลาเช้า ทุกคนต่างก็ตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อรับอรุณของวันใหม่ พลอย แตง และมิลล์ช่วยงานคุณยายทำอาหาร ซึ่งคุณยายก็ชมว่าทำได้ดีกว่าตอนที่คุณยายเป็นสาวอีก ส่วนไก่ ไทยและนนท์กำลังคุยอยู่กับพ่อและลุงของไก่ ถึงแม้ลุงของไก่จะฟังไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ทุกคนก็ยังหัวเราะกันอย่างมีความสุขอย่างเป็นกันเอง ตามนิสัยชาวบ้านที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่โกหกมดเท็จ มีแต่ความจริงใจและซื่อตรงต่อกันเพราะพวกเขามีความรัก มีประเพณีอันดีงาม ตามแนวพุทธของเราที่ท่านให้มีศีลห้าเพื่อความผาสุกของโลกเรา
หลังจากที่ทุกคนกินอาหารเสร็จแล้วไก่ก็แนะนำให้รู้จักกับ คม คมเป็นพรานป่า ถึงยังหนุ่มแต่ก็ได้ติดตามพ่อซึ่งเป็นพรานมาตั้งแต่เด็ก เขาจึงรู้จักพื้นที่ป่าแถวนี้เป็นอย่างดี
“วันนี้ ฉันจะพาพวกเธอไปเที่ยวดูดอกไม้ สีสันสวยงามมาก แต่มันจะไกลหน่อยนะ”
คมแนะนำพวกเรา ถึงจะพูดไทยไม่ชัดแต่พวกเราก็พอฟังรู้เรื่อง คมรูปร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำเขามีสุนัขสองตัว แต่วันนี้เขาไม่ให้มันไปด้วยเพราะไม่ได้ไปล่าสัตว์ พวกเราก็ว่าไม่เป็นไรให้มันไปด้วยจะได้ป้องกันภัย มันน่ารักจะตายไป แต่เขาก็ไม่เอาไปด้วย
พวกเราได้เตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างที่จำเป็น ส่วนคมนั้นเขานำปืนไปด้วยเพราะถึงจะเป็นตอนกลางวันมันก็ยังมีอันตรายอยู่มาก
พวกเราเดินลัดเลาะไปตามป่าเขา ในช่วงหน้าหนาวอย่างนี้หมอกมักจะลงตลอดวัน มองไปไกลๆ จะเห็นแต่หมอกขาวโพลน ป่าแห่งนี้อุดมสมบูรณ์อย่างมาก เพราะชาวบ้านเขาอยู่กันอย่างเรียบง่าย ผู้คนก็ยังไม่เยอะ
เมื่อพวกเราเดินมาได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงกิ่งไม้หัก ดังกว้ากๆ สักพัก เสียงนั้นก็เงียบหายไป ทุกคนต่างก็กลัวมาก ได้แต่นิ่งอยู่กับที่ แต่ดูคมแล้วเขาไม่ค่อยกังวลเท่าไร
“ไม่ต้องกลัวหรอกมันก็แค่เสียงช้างกำลังกินไม้ไผ่นะ”
คมพูดพลางดูดบุหรี่ที่ใช้ใบตองพันเป็นมวน
“แล้วมันจะทำร้ายพวกเราไม่วะคม”
ไก่ถึงแม้จะอยู่ที่นี้ แต่เขาก็ไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้ เพราะไปเรียนที่เมืองกรุงเสียนาน
“ช้างมันกลัวคน เวลามันได้กลิ่นคนมันจะหยุดเสียง ถ้ามันไม่โดนทำร้ายก่อน หรือตอนที่ตกมัน ส่วนมากมันมักไม่ทำอะไรหรอก ช้างมันเป็นสัตว์ที่รักสงบนะ”
ไก่จึงพูดเสริมบ้างว่า
“ฉันก็เคยได้ยินเรื่องหนึ่งนะ ที่เขาใหญ่นะ มีพระกับโยมอุปัฏฐาก ได้เดินทางไปหาความสงบที่ป่าแห่งนั้นพอทำความเพียรได้สักระยะ ในคืนหนึ่ง ก็มีช้างใหญ่มาก บุกป่ามาเสียงดัง กร้อบกร้าบ โครมครามตอนนั้น พระท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ มันก็มาหยุดอยู่ที่หน้าท่าน อุปัฏฐากท่านเห็นเหตุการณ์นั้นจึงรีบถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก แต่กลับทำให้ช้างตัวนั้นตกใจ และนึกว่าจะมีคนทำร้ายมันจึงไล่ฆ่า ในเวลาต่อมามีคนมาเห็นกล้องถ่ายรูปจึงได้นำไปล้างดู และเขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นช้างใหญ่ ที่มีพระอยู่ด้วยแต่ท่านหันมา มือเหยียดไปข้างหน้า เหมือนกังลังแผ่เมตตาให้อยู่ และรูปนั้นก็อยู่ที่นั้นด้วย”
“เฮอๆ พวกเราฉันว่าเรารีบไปดีกว่านะ ฉันว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ใกล้ช้างป่านะโว้ย”
ไทย พูดอย่างตะกุกตะกัก หน้าซีดเผือกเมื่อได้ยินเรื่องที่ไก่พูด
“ไปงั้น พวกเราเดินทางต่อเถอะ เดี๋ยวก็ได้พักผ่อนสบายๆแล้ว”
นนท์พูดเพื่อให้เพื่อนๆได้สบายใจขั้นบ้าง จากนั้นทุกคนก็เดินทางกันต่อ ผ่านป่าไม้ใหญ่โตต้นสูงเสียดฟ้า เสียงนกร้องอย่างน่าฟัง ได้กลิ่นไอธรรมชาติจากป่าเขา ที่เย็นสบาย คลายเหนื่อยไปได้บ้าง
“แล้วมันใกล้จะถึงหรือยัง พวกฉันเริ่มเมื่อยแล้วนะ”
มิลล์ทำหน้าเศร้าๆ หลังจากการเดินชมป่าเขามานาน
“อีกไม่ไกลหรอกข้ามภูเขาลูกนี้ไปก็ถึงแล้วละ”
เมื่อพวกเราเดินมาได้พักใหญ่ ก็ได้เจอทุ่งดอกไม้นานาพันธุ์ สีสวยงามมากมาย พวกเราวิ่งตรงไปอย่างเร็วจนหายเหนื่อยเลยทีเดียว เมื่อเดินต่อมาก็เห็นหน้าผาซึ่งสวยงามมาก เพราะข้างหน้าผาตรงฝั่งโน้นมีน้ำไหลตกลง เมื่อแสงแดดส่อง จึงเกิดสายรุ้งพาดผ่านหน้าผา มองดูเห็นละอองน้ำสีขาวโพลนอยู่ล้อมรอบ พวกเราจึงรีบถ่ายรูปเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก
“เฮ้ย พวกเราฉันเห็นอะไรบางอย่างปรากฏขึ้นขณะถ่ายรูปวะ มันเหลือเชื่อมากเลย”
“มันจะเหลือเชื่ออะไร ไหน ถ้าแกล้งทำให้พวกฉันเสียบรรยากาศละก็โดน กำลังสนุกอยู่เลย”
มิลล์พูดอย่างอารมณ์เสีย เพราะเธอเก๊กท่าอย่างสวยรออยู่
“มาดูก่อนเถอะน่า”
เมื่อทุกคนมาดู ไทยก็ลองถ่ายรูป
“แชะ”
ทุกคนต่างแปลกใจมากเมื่อเห็นหนทางอยู่กลางหน้าผามันเป็นภาพลางๆ เหมือนมีหมอกบางๆคั่นภาพนั้นไว้
“เรา น่าจะลองไปดูนะ พวกเรา”
ไทยพูดยังตื่นเต้น เพราะไม่เคยเห็นสิ่งพิสดารอย่างนี้มาก่อน
“ไปฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าสิ่งลี้ลับอย่างนี้มันจะมีจริงอย่างที่คนโบราณเขาพูดกันหรือเปล่า”
แตงพูดเสริมเพราะเธอไม่ค่อยเชื่อเรื่องอย่างนี้
ส่วนคมนั้นนิ่งอยู่สักพักหนี่งแล้วจึงพูดว่า
“ฉันเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่เล่าว่า มีชายหญิง สองคนชื่อว่าฟ้ากับรุ้งเขาเป็นคู่รักกัน แต่ในเวลาต่อมาทั้งสองกลับแยกทางกัน โดยไม่มีสาเหตุ ฟ้ามีแฟนใหม่ ส่วนรุ้งหายตัวไปอย่างลึกลับ จากนั้นฟ้าและแฟนก็หายตัวไป ในเวลาต่อมา ในวันเพ็ญเดือน 12 ก็มีผู้ชายหลายคนหายตัวไป อย่างไร้ร่องรอย ผู้คนออกตามหาแต่ก็ไม่เจอใครสักคนเดียว”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับภาพที่เราเห็นละ”
ไก่พูดอย่างวิตก
“มันก็อาจจะเป็นสถานที่ที่ผู้คนในอดีตหายไปนะสิ”
ทุกคนเงียบอย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้เจอเรื่องแบบนี้
“งั้น พวกเราจะทำยังไงต่อละ จะลองเข้าไปดูมันน่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีนะ”
ไทยพูดอย่างกลืนน้ำลาย เพื่ออยากดูสิ่งเร้นลับแต่อีกใจก็กลัวอยู่มาก
“ดีบ้าอะไรฉันกลัวจะตายอยู่แล้วนะ ฉันว่าพวกเรากลับไปบอกผู้ใหญ่ให้เขามาจัดการกันเองดีกว่านะ”
แตงพูดสั่นๆ
“บางทีฉันอาจะคิดไปเองนั้นแหละนะ ไม่ต้องวิตกอะไรมากหรอกมันก็แค่เรื่องเล่าเท่านั้นเอง”
“อย่างนั้นก็ไปลองดูนะเผื่ออาจมีคนต้องการความช่วยเหลือรออยู่” นนท์พูดเสริม
ดังนั้น ทุกคนนั้นจึงเดินไปที่หน้าผา โดยไม่รู้ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่
“ทำไมมันสูงอย่างนี้ละฉันไม่ไปนะ ไม่รู้ว่าเดินไปแล้วมันจะตกลงไปหน้าผาหรือเปล่า”
มิลล์พูดพลางเดินมาอยู่ข้างหลังเพื่อน
“ฉันว่า เราน่าจะหาสิ่งมีชีวิตโยนเข้าไปดูนะ”
คมพูดพลางจับกบมาตัวหนึ่งมา
“เฮ้ยนายไม่กลัวบาปหรือไงวะไอ้คม”
ไทยพูดอย่างกังวลใจ
“ใช่ มันก็เป็นสัตว์ที่รักตัวกลัวตายเหมือนพวกเรานะ”
พลอยพูดเสริม
“แล้วจะให้ทำยังไงละ หรือว่าใครจะเป็นคนลองเดินเข้าไปเป็นคนแรก”
คมพูดอย่างมีอารมณ์
จากนั้นเขาจึงโยนกบตัวนั้นเข้าไป
“วาบ”
“เว้า เย้ๆ พวกเราสำเร็จแล้ว กบตัวนั้นมันหายไปแล้ว”
คมพูดอย่างน่าตื่นเต้น
ทุกคนจึงตัดสินใจเดินเข้าไปตรงหน้าผานั้น
“ รู้สึกมึนๆ เหมือนความฝันเลย ลองหยิกฉันที” ไทยกล่าว
“โอ้ย ยายแตง ทำไมหยิกแรงจังเลยงา”
“ก็บอกให้หยิกไง แค่นี้ทำเป็นเจ็บไปได้ สำออย”
“โอ้โฮ ที่นี่สวยงามน่าอยู่จริงๆ เลยเนาะ พวกเรา”
แตงทำท่าทางตื่นเต้นเมื่อได้เห็น ป่าไม้ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ท้องฟ้ามีสายรุ้งทอดยาวไปทางทิศตะวันออก และมีทางเดินเล็กๆ ไปทางเดียวกับสายรุ้ง บรรยากาศวังเวงอย่างมากไม่มีเสียงร้องของสิงสาราสัตว์ เหมือนกับป่าใหญ่ทั่วไป แต่ข้างหลังก็ยังเป็นหน้าผาเหมือนเดิม
“เอ้ พวกเราแล้วยายมิลล์กับคมหายไปไหนแล้วละ”
นนท์พูดอย่างไม่สบายใจเมื่อไม่เห็นเพื่อนที่เคยเดินร่วมทางกัน
“พวกเราจะทำยังไงต่อละ จะเดินต่อไปหรือว่าจะกลับกันดี”
แตงพูดหยั่งเชิงเพื่อนก่อน
“เอ้ หรือว่าสองคนนั้นจะไปก่อนพวกเราแล้ว”
ไทยพูดอย่างมีน้ำเสียงเมื่อนึกขึ้นได้
“คมก็ชำนาญทางป่าเขาคนเดียวด้วย แล้วจะทำไงต่อละ”
แตงพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้
“ไม่เป็นไรน่าฉันว่าเขาคงมีเหตุผล ของเขาละ ไม่ต้องกลัวหรอก พวกเราจะช่วยกัน พวกเราละลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และก็ผู้มีพระคุณทั้งหลายให้ช่วยคุ้มครองพวกเราเถอะ ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ และต้องตกระกำลำบาก ฉันว่าพลังอันศักดิ์ของท่านทั้งหลายคงช่วยเราได้นะ”
นนท์พูดอย่างมุ่งมั่น เพราะว่าทุกคนก็เคยเข้าค่ายอบรมที่วัดอยู่เป็นประจำ ทำให้ไม่ขาดสติมากนัก เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้
หลังจากที่ทุกคนระลึกแล้วต่างก็มีกำลังใจขึ้นมากทีเดียว
“พวกเราออกตามหาเขาทั้งสองเถอะ”
ไทยและเพื่อนๆเดินไปตามทางเดินไปด้วยความหวัง หวังว่าจะได้เจอเพื่อนที่เหลือ เจอผู้คนที่รอการช่วยเหลือ และจะได้กลับบ้านเมืองของตน
“เราอยู่ที่ไหนเนี้ยคม”
มิลล์พูดพลางมองดูรอบๆตัว ไม่เห็นเพื่อนเลยสักคน ที่นี้เป็นถ้ำสวยงามมากมีแสงกระพริบเมื่อโดนแสงไฟ สีขาว มีหินงอก หินย้อย เป็นรูปร่างต่างๆ เป็นยอดแหลมโผล่ออกมาจากพื้นก็มี ที่นี้กว้างขวางมาก
“ที่นี้ชาวบ้านเรียกว่าถ้ำนางครวญ เพราะผู้คนเมื่อ ผ่านมาป่าแถวนี้มักจะได้ยินเสียงเพลงอันเย็นยะเยือก อยู่บริเวณแถวนี้”คมพูดพลางก้มหน้าลง แล้วมองดูมิลล์อย่างยินดี
“แล้วเรามาอยู่ที่นี้ได้ยังไงเนี้ย แล้วทุกคนหายไปไหนกันหมดละ ฉันกลัวนะอย่าหลอกฉันอย่างนี้สิ”
“พวกเขาเดินทางไปยังเมืองแห่งสายรุ้งนะ ที่นั้นสวยงามมาก เงียบสงบ และอันตราย ส่วนเราฉันอยากพาเธอมาเที่ยวที่นี้ก่อน ไม่ดีเหรอไง ฉันไม่ทำร้ายเธอหรอก”
“แล้วเธอเป็นใครละทำไมเป็นอย่างนี้ ฉันงงไปหมดแล้วนะ”
“ฉันนะหรือไม่มีอะไรหรอก อยู่อย่างเดียวดาย ไม่มีใครเหลียวแล อยู่กับยายเพียงสองคนเท่านั้น”
“แล้วไก่ละ เขาก็เป็นเพื่อนชองคมไม่ใช่เหรอแล้วทำไมปล่อยให้เขาไปที่อันตรายได้ละ”
คมก้มหน้านิ่งอยู่พักหนึ่ง
ผลงานอื่นๆ ของ ลิ้นปี่ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ลิ้นปี่
ความคิดเห็น